เครื่องช่วยฟังเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กทำหน้าที่ขยายเสียงต่างๆให้เหมาะสมกับระดับการได้ยินของผู้ใช้งานแต่ละบุคคล ทำให้ผู้ที่มีความสูญเสียการได้ยินสามารถรับฟังเสียงได้ดียิ่งขึ้น

เครื่องช่วยฟังประกอบไปด้วย

• ไมโครโฟน (Microphone): ใช้สำหรับรับเสียงจากสภาพแวดล้อมข้างนอกและส่งเสียงเข้าสู่เครื่องช่วยฟังเพื่อการประมวลผล
• เครื่องขยายเสียง (Amplifier): ทำหน้าที่เพิ่มระดับเสียงของเสียงที่รับมาจากไมโครโฟนให้มีความดังพอเหมาะสมสำหรับผู้ใช้งาน
• ลำโพง (Speaker): ใช้สำหรับส่งเสียงที่ได้รับการปรับปรุงแล้วไปยังหูของผู้ใช้
• แบตเตอรี่ (Battery): ใช้เพื่อจ่ายพลังงานให้กับเครื่องช่วยฟังในการทำงาน
• วงจรประมวลผลสัญญาณ (Signal Processing Circuit): ใช้ในการปรับปรุงและประมวลผลสัญญาณเสียงเพื่อเพิ่มความชัดเจนและประสิทธิภาพในการได้ยิน
• ที่ครอบหู / ที่อุดหู : ชิ้นส่วนพลาสติก อะคริลิค หรือวัสดุยืดหยุ่นอื่นๆ ที่มีรูปร่างตามรูปทรงของหูของแต่ละบุคคล ใช้สำหรับติดตั้งเครื่องช่วยฟัง
• เครื่องช่วยฟัง (RIC) จะมาพร้อมกับลำโพงเพื่อส่งเสียงไปยังหู และเครื่องช่วยฟังแบบหลังใบหู (BTE) จะมาพร้อมกับท่อเพื่อส่งเสียงจากตัวเครื่องช่วยฟังไปยังหู
• เสาอากาศไร้สาย (Wireless antenna): มีอยู่ในเครื่องช่วยฟังเฉพาะ ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อไร้สายกับอุปกรณ์ที่รองรับ เช่น สมาร์ทโฟนและเครื่องเล่นเพลง เครื่องช่วยฟัง Bluetooth เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันเพราะคนชอบสตรีมบนโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์

อย่างไรก็ตามหากคุณมีความสูญเสียการได้ยิน การเลือกใช้เครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมและใช้งานได้อย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและการใช้งานของผู้ใช้งานแต่ละคนเราแนะนำให้เลือกเครื่องช่วยฟังที่ได้รับการรับรองจาก TFDA และร้านเครื่องช่วยฟังที่มีหน้าร้านและผู้เชี่ยวชาญ Digibionic ยินดีให้คำปรึกษาและเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสม โทร 02-115-0568

คุณควรใส่เครื่องช่วยฟังเมื่อมีสัญญาณของปัญหาการได้ยิน เช่น รู้สึกได้ยินไม่ชัดในสภาพแวดล้อมปกติ หรือได้ยินเสียงที่ควรได้ยินในชีวิตประจำวันน้อยลง เช่น เสียงฝนตก เครื่องตู้เย็น เสียงรถยนต์
Digibionic บริการทดสอบการได้ยินฟรี ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์คอยอธิบายการได้ยินของคุณและให้คำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสม จองคิวได้ที่ โทร 021150568

ปัญหาเหล่านี้พบได้มากในผู้สูงอายุ ช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่สวมเครื่องช่วยฟัง?

ปล่อยไว้นานๆปัญหาการได้ยินจะส่งผลต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันและอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น โรคอัลไซเมอร์ ภาวะซึมเศร้า และอีกมากมายเพิ่มเติมในลิ้งค์นี้

จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่สวมเครื่องช่วยฟัง? - ศูนย์บริการพิเศษเครื่องช่วยฟัง Mimitakara (digibionic.co.th)

เหมาะกับผู้ที่มีการสูญเสียการได้ยิน คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง การสูญเสียการได้ยินเกิดได้จากหลายสาเหตุ คือ

• กรรมพันธุ์
• การใช้ยาบางชนิด/ครรภ์เป็นพิษ/ติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์
• ได้ยินเสียงดังฉับพลัน
• การทำงานในสถานที่ที่มีเสียงดัง เช่น ทำงานกับเครื่องจักร, ทหาร และนักดนตรี
• ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินตามธรรมชาติ ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินอาจทำให้จิตใจแย่ลงและพูดไม่ได้เนื่องจากปัญหาในการสื่อสาร

เนื่องจากการสูญเสียการได้ยินมีหลายประเภท เครื่องช่วยฟังจึงมีหลากหลายรูปแบบ เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จไฟได้ / เครื่องช่วยฟังแบบ Bluetooth / เครื่องช่วยฟังผู้สูงอายุ

คุณสามารถเข้าดูผลิตภัณฑ์ของเราได้ที่ https://digibionic.co.th/product-list/ และขอคำแนะนำการใส่เครื่องช่วยฟังได้ที่ โทร 02-115-0568

หากคุณมีสภาพหูแห้ง คุณสามารถใช้ได้ทุกแบบ มีทั้ง เครื่องช่วยฟังทัดหลังหู (BTE) เครื่องช่วยฟังลำโพงในช่องหู(RIC) เครื่องช่วยฟังใส่ในหู (ITE) ปัจจุบันเครื่องช่วยฟังใส่ในช่องหู TICและCIC เป็นที่นิยมมากสำหรับลูกค้าที่ห่วงภาพลักษณ์และไม่ชอบเครื่องช่วยฟังที่มีขนาดใหญ่ แต่ถ้าคุณมีสภาพหูเปียก จะมีข้อจำกัดในการใส่ คุณสามารถใส่แบบเครื่องช่วยฟังทัดหลังหู (BTE)

หากคุณไม่มั่นใจว่าตัวเองสภาพช่องหูเป็นแบบไหน เครื่องช่วยฟังแบบไหนที่เหมาะกับคุณ เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่ ร้านเรามีบริการตรวจสภาพช่องหูฟรีและแนะนำเครื่องช่วยฟังโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถเข้ามาที่ศูนย์บริการ Digibionic ทุกสาขา หรือติดต่อจองคิวได้ที่โทร 02-115-0568

แน่นอน เรามีบล็อกที่จะช่วยไขข้อข้องใจให้คุณได้ การเปรียบเทียบราคาของเครื่องช่วยฟังหลักพันและหลักหมื่น วิธีการทำงาน รูปแบบและการใช้งานแตกต่างกันอย่างไรและคุณเหมาะกับเครื่องช่วยฟังแบบไหน ทำไมเครื่องช่วยฟังถึงมีราคาแพง? แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าควรซื้อเครื่องช่วยฟังแบบไหน วันนี้เรามีคำแนะนำสอนเปรียบเทียบเครื่องช่วยฟังก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ยังสามารถเบิกเครื่องช่วยฟังฟรีจากรัฐบาลได้ด้วย เบิกเครื่องช่วยฟังผู้สูงอายุฟรีกับรัฐบาลยังไง? สำหรับผู้ที่มีประกันสังคม มาตรา 33 และ 39 สามารถเบิกเครื่องช่วยฟังได้ สูงสุดข้างละ 12500 บาท และสามารถเบิกเครื่องใหม่ได้ทุก 3 ปี เมื่อส่งเงินสมทบครบ 3 เดือนติดต่อกัน  หรือภายใน 15 เดือนย้อนหลังส่งเงินสมทบรวมกันไม่น้อยกว่า 3 เดือน หลักเกณฑ์การเบิกเครื่องช่วยฟังประกันสังคม